เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาบริเวณใต้ตาต่างๆ เริ่มปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นรอยคล้ำ ใต้ตาลึกบุ๋ม หรือถุงใต้ตาคล้อย ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ขาดความสดใส แม้จะพักผ่อนเต็มที่แล้วก็ตาม ฟิลเลอร์ใต้ตา จึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนและรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่าตัด ในบทความนี้เราจะพาคุณทำความรู้จักกับ ฟิลเลอร์ใต้ตา อย่างครบถ้วน ตั้งแต่หลักการทำงาน ข้อดี ข้อเสี่ยง ไปจนถึงการดูแลหลังการทำหัตถการ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจอย่างมั่นใจค่ะ
ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร และทำงานอย่างไร
ฟิลเลอร์ใต้ตา คือหัตถการทางความงามที่ใช้สารไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือสารอื่นๆ ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังบริเวณใต้ตา เพื่อเติมเต็มส่วนที่บุ๋มลึก ยกกระชับผิว และปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูสมส่วนและอ่อนเยาว์มากขึ้น
หลักการทำงานของฟิลเลอร์ใต้ตา
ฟิลเลอร์ทำงานโดยการเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปในชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิว เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังจะลดลง ไขมันใต้ผิวหนังเริ่มเสื่อมสภาพ และโครงสร้างกระดูกบริเวณกลางหน้าเริ่มทรุดตัว ทำให้เกิดร่องลึกบริเวณใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเรื่องต่างๆ ดังนี้
- เติมเต็มปริมาตร ที่สูญเสียไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
- พยุงถุงใต้ตา ให้กลับขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งเดิม
- ปรับสีผิว ให้ดูสว่างขึ้น เพราะการเติมฟิลเลอร์จะช่วยให้แสงสะท้อนผิวหนังได้ดีขึ้น ทำให้รอยคล้ำดูจางลง
- กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ในระยะยาว ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นดีขึ้น
ใต้ตาลึก บุ๋ม
เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการสูญเสียปริมาตรของเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนัง และการทรุดตัวของโครงสร้างกระดูกใบหน้า ทำให้เกิดร่องลึกวิ่งจากหัวตาใน ลงมาถึงแก้มตอนบน ส่งผลให้
- ใบหน้าดูเหนื่อยล้า เศร้า
- ดูแก่กว่าวัยจริง
- ขาดความสดใส แม้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มร่องลึกนี้ ทำให้ผิวหนังเรียบเนียน และดวงตามีมิติที่ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
รอยคล้ำใต้ตา
รอยคล้ำใต้ตามีสาเหตุมาจากหลายประการ ดังนี้
- เส้นเลือดโปร่งแสง: เมื่อผิวหนังบริเวณใต้ตาบางลง จะเห็นเส้นเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ดูเป็นสีม่วงคล้ำ
- เงาจากความลึกของใต้ตา: เมื่อมีร่องลึก แสงจะตกกระทบทำให้เกิดเงา ดูเป็นสีคล้ำ
- การสะสมของเม็ดสีเมลานิน: ผิวหนังมีการผลิตเม็ดสีมากเกินไป
ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำที่เกิดจากสาเหตุข้อแรกและข้อสอง โดยการเติมเต็มทำให้ผิวหนังหนาขึ้น เส้นเลือดโปร่งแสงน้อยลง และเงาที่เกิดจากร่องลึกก็หายไป
ถุงใต้ตาคล้อย
เกิดจากเนื้อเยื่อไขมันบริเวณใต้ตาเลื่อนหลุดออกมา และกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวเสื่อมสภาพ ทำให้ผิวหนังห้อยคล้อย สาเหตุการเกิดถุงใต้ตา มีดังนี้
- อายุที่มากขึ้น
- พันธุกรรม
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ความเครียด
- โรคประจำตัว เช่น โรคไต หรือไทรอยด์
สำหรับถุงใต้ตาที่ไม่มากนัก การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาบริเวณกระดูกแก้มและส่วนที่ต่ำกว่าถุงใต้ตาจะช่วยพยุงให้ผิวหนังยกตึงขึ้น ทำให้ถุงใต้ตาดูไม่เด่นชัดเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม หากถุงใต้ตามีขนาดใหญ่มาก การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
รอยย่นริ้วรอยรอบดวงตา
แม้ว่าฟิลเลอร์หลักที่ใช้จะไม่ได้เน้นแก้รอยย่นริ้วรอยโดยตรง แต่เมื่อผิวหนังได้รับการเติมเต็มและยกกระชับ รอยย่นริ้วรอยบางส่วนก็จะดูจางลงไปด้วย นอกจากนี้ยังช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูกลมกลึงและสมส่วนมากขึ้น
การปรึกษาและวางแผนการรักษา
- ประเมินสภาพผิวและโครงสร้างใบหน้า: ตรวจสอบปริมาณไขมันใต้ผิวหนัง ความลึกของร่องใต้ตา และความยืดหยุ่นของผิว
- สอบถามประวัติสุขภาพ: โรคประจำตัว ยาที่ใช้ ประวัติการแพ้ และการทำหัตถการความงามในอดีต
- อธิบายขั้นตอนและความเสี่ยง: ให้ความรู้เกี่ยวกับหัตถการ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- วางแผนปริมาณฟิลเลอร์: คำนวณจำนวน cc ที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล
การเตรียมตัวก่อนหัตถการ
- หยุดยาและอาหารเสริมบางชนิด: เช่น แอสไพริน วิตามินอี ขิง กระเทียม ที่อาจทำให้เลือดออกง่าย อย่างน้อย 7 วันก่อนทำหัตถการ
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์: อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ
- ทำความสะอาดผิวหน้า: ไม่แต่งหน้าในวันทำหัตถการ
- พักผ่อนให้เพียงพอ: เพื่อลดการบวมและช้ำ
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ: แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณที่จะฉีดด้วยแอลกอฮอล์หรือสารฆ่าเชื้อ
- ทาครีมชา: ทาครีมชาบริเวณใต้ตาเพื่อลดความเจ็บปวด รอประมาณ 15-20 นาที
- วางแผนจุดฉีด: แพทย์จะทำเครื่องหมายบริเวณที่จะฉีด โดยพิจารณาจากโครงสร้างใบหน้าและปัญหาที่ต้องแก้ไข
- ฉีดฟิลเลอร์: แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กหรือ Cannula (เข็มปลายทู่) ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นผิวหนังที่เหมาะสม
อ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี | แนะนำ 10 คลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2025
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าฟิลเลอร์ใต้ตาจะถือว่าปลอดภัยในระดับสูง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ควรทราบ
ผลข้างเคียงทั่วไป (พบได้บ่อย แต่ไม่รุนแรง)
- บวม แดง ช้ำ บริเวณที่ฉีด (หายภายใน 3-7 วัน)
- รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายเล็กน้อย
- เห็นรอยฟิลเลอร์หรือปุ่มนูนเล็กน้อย (Tyndall Effect)
- ความไม่สมมาตร (สามารถปรับแก้ได้)
ผลข้างเคียงร้ายแรง (พบได้น้อยมาก)
- ฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด: เป็นภาวะที่อันตรายที่สุด อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงจอประสาทตาไม่เพียงพอ ส่งผลให้ตาบอดได้ อาการเตือน มีดังนี้
- ปวดรุนแรงทันที
- ผิวหนังเปลี่ยนสีซีด
- มองเห็นไม่ชัดทันที
- การติดเชื้อ: หากการทำหัตถการไม่สะอาด
- การอักเสบเรื้อรัง: ร่างกายต่อต้านฟิลเลอร์
- Granuloma: ก้อนที่เกิดจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?
ข้อควรระวังในการเลือกคลินิกและแพทย์
เนื่องจากบริเวณใต้ตามีเส้นเลือดสำคัญที่เชื่อมต่อกับดวงตา การเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เกณฑ์ในการเลือกคลินิก
- แพทย์มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่ง
- มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาเป็นจำนวนมาก
- ใช้ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. (FDA Thailand)
- มีอุปกรณ์ฉุกเฉินพร้อม เช่น เอนไซม์ Hyaluronidase สำหรับละลายฟิลเลอร์กรณีเกิดปัญหา
- คลินิกมีความสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน
- มีการติดตามผลและดูแลหลังหัตถการ
สัญญาณเตือนที่ควรหลีกเลี่ยง
- ราคาถูกผิดปกติ (อาจเป็นฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน)
- ไม่มีการตรวจสอบประวัติสุขภาพหรือให้คำแนะนำก่อนทำ
- ไม่แสดงกล่องฟิลเลอร์ให้เห็น
- บอกว่าไม่มีความเสี่ยงเลย (ทุกหัตถการมีความเสี่ยง)
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การดูแลที่ถูกต้องจะช่วยลดผลข้างเคียงและทำให้ฟิลเลอร์คงอยู่ได้นานขึ้น
ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
- ประคบเย็น: ใช้ผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งประคบบริเวณที่ฉีด 10-15 นาที ทุกๆ 1-2 ชั่วโมง เพื่อลดการบวมและช้ำ
- นอนหัวสูง: ใช้หมอนรองศีรษะให้สูงกว่าระดับหัวใจ จะช่วยลดการบวม
- หลีกเลี่ยงการกดหรือนวดแรงๆ: บริเวณที่ฉีด
- ไม่ออกกำลังกายหนัก: เพราะจะทำให้หัวใจสูบฉีดเร็ว เพิ่มการบวมและช้ำ
- หลีกเลี่ยงความร้อน: อาบน้ำอุ่น ซาวน่า ห้องอบไอน้ำ
ในช่วง 1-2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์: เพราะทำให้เลือดออกง่าย
- งดการนวดหน้า: หรือทำทรีทเมนต์ใดๆ ที่ใบหน้า
- ป้องกันแดด: ใช้ครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป
- หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ: หรือกดใบหน้าแรงๆ
การดูแลระยะยาว
- กินอาหารครบ 5 หมู่: เพื่อบำรุงผิวพรรณ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ไฮยาลูโรนิกแอซิดดูดน้ำได้ การดื่มน้ำจะช่วยให้ฟิลเลอร์ดูอิ่มเอิบ
- ป้องกันแดด: รังสี UV ทำลายฟิลเลอร์และทำให้ผิวแก่เร็วขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ: ช่วยลดการเสื่อมสภาพของผิวหนัง
สรุป
ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นทางเลือกยอดนิยมในการแก้ไขปัญหาใต้ตาลึก รอยคล้ำ และถุงใต้ตา ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับการเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ การใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน และการดูแลตนเองอย่างถูกต้องหลังทำหัตถการ
ก่อนตัดสินใจควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และประเมินความเหมาะสมกับตนเอง เพราะความงามที่ยั่งยืนต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยเสมอ นอกจากนี้ควรดูแลผิวพรรณอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ และป้องกันแสงแดด เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานยิ่งขึ้นค่ะ

