มาทำความรู้จัก กับ วิตามินเอ Vitamin A

วิตามิน A

วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน มีผลต่อการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และระบบสืบพันธุ์ ช่วยในการมองเห็นในที่มืดและป้องกันการแพ้แสงต่างๆ ที่เป็นผลเสียต่อสายตาอีกด้วย นอกจากนี้ ยังป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวและผมแข็งแรง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิตามินเอ

แหล่งที่มาของวิตามินเอ

ปริมาณวิตามินเอที่ร่างกายต้องการ

ประโยชน์จากวิตามินเอ

อันตรายจากการขาดวิตามินเอ

อันตรายจากการได้รับวิตามินเอเกินขนาด

 

แหล่งที่มาของวิตามินเอ

น้ำมันตับปลา ตับ แครอท ฟักทอง คะน้า ยอดกระถิน ผักตำลึง ยอดชะอม บรอกโคลี ไข่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม มาการีน และผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ (ความเข้มของสีผักและผลไม้ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณเบต้าแคโรทีนที่เชื่อถือได้เสมอไป)

ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เนื่องด้วยวิตามินเอในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆ

 

ปริมาณวิตามินเอที่ร่างกายต้องการ

ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU

โดยปริมาณวิตามิน A ที่กำหนดสำหรับเด็กนั้นจะขึ้นอยู่กับอายุ:

น้อยกว่า 2000 IU/วัน สำหรับเด็กอายุ 3 ปี

น้อยกว่า 3000 IU/วัน สำหรับเด็กอายุ 4-8 ปี

น้อยกว่า 5700 IU/วัน สำหรับเด็กอายุ 9-13 ปี

น้อยกว่า 9300 IU/วัน สำหรับเด็กอายุ 14-18 ปี

 

แหล่งวิตามินในธรรมชาติ

ผักตำลึง น้ำหนัก 100 กรัม 18,608 IU

ยอดชะอม น้ำหนัก 100 กรัม 10,066 IU

คะน้า น้ำหนัก 100 กรัม 9,300 IU

แครอท น้ำหนัก 100 กรัม 9,000 IU

ยอดกระถิน น้ำหนัก 100 กรัม 7,883 IU

ผักโขม น้ำหนัก 100 กรัม 7,200 IU

ฟักทอง น้ำหนัก 100 กรัม 6,300 IU

มะม่วงสุก 1 ผล(โดยเฉลี่ย) 4,000 IU

บรอกโคลี 1 หัว(โดยเฉลี่ย) 3,150 IU

แคนตาลูบ น้ำหนัก 100 กรัม 3,060 IU

แตงกวา 1 กิโลกรัม 1,750 IU

ผักกาดขาว น้ำหนัก 100 กรัม 1,700 IU

มะละกอสุก 1 ชิ้นยาว(โดยเฉลี่ย) 1,500 IU

หน่อไม้ฝรั่ง น้ำหนัก 100 กรัม 810 IU

มะเขือเทศ น้ำหนัก 100 กรัม 800 IU

พริกหวาน 1 เม็ด(โดยเฉลี่ย) 500-700 IU

แตงโม 1 ชิ้นใหญ่ 700-1,000 IU

กระเจี๊ยบเขียว น้ำหนัก 100 กรัม 470 IU

 

ประโยชน์จากวิตามินเอ

  • ช่วยป้องกันอาการตาบอด เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น และช่วยในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับดวงตาหลายโรค
  • เสริมสร้างภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อในทางเดินหายใจ
  • ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
  • ลดระยะเวลาการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ
  • ช่วยให้เนื้อเยื่อชั้นนอกของอวัยวะมีสุขภาพดี
  • ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ รักษารอยแผลเป็นที่ผิวหนัง
  • ส่งเสริมการเจริญเติบโต ความแข็งแรงของกระดูก สุขภาพของผิวพรรณ ผม ฟัน และเหงือก
  • เมื่อใช้ทาบริเวณผิวจะมีส่วนช่วยในการรักษาสิว ริ้วรอยตื้นๆ โรคผิวหนังชนิดที่เป็นตุ่มพุพองที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ฝี ชันนะตุ และแผลเปิดต่างๆ
  • ช่วยในการรักษาโรคถุงลมโป่งพองและไทรอยด์เป็นพิษ

 

อันตรายจากการขาดวิตามินเอ

  1. โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้
  2. ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้
  3. ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย

 

อันตรายจากการได้รับวิตามินเอเกินขนาด

  1. แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู
  2. อ่อนเพลีย หากร่างกายได้รับวิตามินเอเกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอาเจียนได้
  3. เจ็บกระดูกและข้อต่อ เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาวที่เกิดจากการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป