การทำความงามด้วยการฉีดไขมันกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าการใช้ไขมันจากร่างกายตัวเองจะปลอดภัยกว่าการฉีดสารสังเคราะห์ แต่ความจริงที่หลายคนไม่ทราบคือ ฉีดไขมันแล้วตาบอด เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและอันตรายถึงชีวิต ซึ่งอาจส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของ ฉีดไขมันแล้วตาบอด พร้อมแนวทางการป้องกันที่ทุกคนควรทราบก่อนตัดสินใจฉีดไขมันค่ะ
ฉีดไขมันแล้วตาบอด เกิดขึ้นจากกลไกที่เรียกว่า “การอุดตันของเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา” หรือ Central Retinal Artery Occlusion (CRAO) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากการที่ไขมันที่ฉีดเข้าไปติดอยู่ในเส้นเลือดแดงและไหลไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา
ระบบเลือดแดงบนใบหน้าของเรามีการเชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อน เมื่อมีการฉีดไขมันในบริเวณใบหน้า หากเข็มฉีดยาเจาะเข้าไปในเส้นเลือดแดงโดยไม่ตั้งใจ ไขมันจะถูกผลักดันโดยแรงดันของเลือดและไหลไปตามเส้นเลือด เมื่อไขมันมีขนาดใหญ่กว่าเส้นเลือดขนาดเล็ก จะเกิดการอุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงเซลล์ประสาทตาได้
ที่ทำให้ ฉีดไขมันแล้วตาบอด เป็นอันตรายมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ก็คือ ไขมันไม่มีเอนไซม์ที่สามารถย่อยสลายได้ในทันที ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ที่สามารถใช้ยา Hyaluronidase สลายได้ทันทีหากเกิดการอุดตันเส้นเลือด
- หน้าผาก – เป็นตำแหน่งที่ได้รับความนิยมสูงในการฉีดไขมัน
- ขมับ – บริเวณที่มีเส้นเลือดเชื่อมต่อโดยตรงกับดวงตา
- จมูก – โดยเฉพาะบริเวณโคนจมูกและสันจมูก
- ร่องแก้ม – บริเวณใกล้เคียงกับดวงตา
- ใต้ตา – เป็นบริเวณที่บอบบางและมีเส้นเลือดหนาแน่น
อาการข้างเคียง
ฉีดไขมันแล้วตาบอด มักเกิดขึ้นทันทีหรือภายในไม่กี่นาทีหลังจากการฉีด อาการที่ผู้ป่วยจะพบได้ แบ่งเป็น 2 ระดับ ดังนี้ค่ะ
อาการเบื้องต้น
- การมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็วในข้างเดียว
- เห็นเป็นจุดดำหรือมีม่านบังใส่หน้าตา
- ปวดตาหรือบริเวณรอบๆ ดวงตา
- ตาแดงหรือมีอาการระคายเคือง
อาการร้ายแรง
- สูญเสียการมองเห็นทั้งหมดในข้างเดียว
- ไม่สามารถแยกแสงและความมืดได้
- ม่านตาไม่หดตัวเมื่อส่องแสง
- อาการปวดศีรษะรุนแรง
ขั้นตอนการรักษาฉุกเฉิน
เมื่อเกิด ฉีดไขมันแล้วตาบอด แพทย์จะต้องดำเนินการรักษาฉุกเฉินดังนี้
- การประเมินอาการเบื้องต้น – ตรวจสอบการมองเห็นและตรวจตาด้วยกล้องจักษุ
- การลดแรงดันในดวงตา – ใช้ยาลดแรงดันเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
- การนวดลูกตา – เพื่อพยายามผลักไขมันที่อุดตันให้เคลื่อนที่
- การให้ออกซิเจนความดันสูง – เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เซลล์ประสาทตา
- การใช้ยาขยายหลอดเลือด – เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
ผลกระทบระยะยาว
แม้จะได้รับการรักษาทันท่วงที ผู้ป่วยที่เกิด ฉีดไขมันแล้วตาบอด อาจยังคงมีผลกระทบระยะยาวได้ เช่น
- การมองเห็นลดลงถาวร
- การสูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด
- ปัญหาการมองเห็นสี
- ปัญหาการปรับโฟกัส
การเลือกแพทย์และสถานพยาบาล
- เลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ – ควรเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการฉีดไขมัน
- ตรวจสอบประสบการณ์ – สอบถามจำนวนเคสที่แพทย์เคยทำและดูผลงานจริง
- สถานพยาบาลมาตรฐาน – เลือกสถานที่ที่ได้รับการรับรองและมีอุปกรณ์ครบครันสำหรับการจัดการภาวะฉุกเฉิน
เทคนิคการฉีดที่ปลอดภัย
แพทย์ที่มีประสบการณ์จะใช้เทคนิคป้องกัน ฉีดไขมันแล้วตาบอด ดังนี้
- ใช้เข็มหัวทู่ (Blunt Cannula) แทนเข็มแหลม
- ฉีดช้าๆ และสังเกตอาการผู้ป่วยตลอดเวลา
- หลีกเลี่ยงการฉีดในบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง
- ฉีดในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป
- ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด – ทำความเข้าใจความเสี่ยงของการฉีดไขมัน ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด ผู้รับบริการควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน ข้อมูลเปรียบเทียบความเสี่ยงระหว่างการฉีดไขมันกับการฉีดฟิลเลอร์ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับระยะเวลาการฟื้นตัวและการดูแลหลังการฉีด
- ปรึกษาแพทย์หลายท่าน – เพื่อรับความเห็นที่หลากหลายและเปรียบเทียบ
การปรึกษาแพทย์หลายท่านจะช่วยให้ได้รับมุมมองที่หลากหลายและสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล - แจ้งประวัติสุขภาพ – โรคประจำตัวและยาที่รับประทาน หรือประวัติการฉีดฟิลเลอร์หรือสารอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากการแจ้งประวัติสุขภาพอย่างตรงไปตรงมาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัย
สรุป
ฉีดไขมันแล้วตาบอด เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและอันตรายถึงชีวิต ซึ่งสามารถป้องกันได้หากเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน การตัดสินใจทำความงามด้วยการฉีดไขมันควรทำอย่างรอบคอบ โดยชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงอย่างรอบครอบ
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจว่า ฉีดไขมันแล้วตาบอด เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาภายใน 90 นาทีแรก หากเกิดอาการผิดปกติระหว่างหรือหลังการฉีด ต้องรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร การเลือกความงามไม่ควรมาแลกกับความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่สามารถย้อนกลับได้